วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตำนานวันคริสต์มาส



ตำนานวันคริสต์มาส

           คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

           เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

          ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

6 อาหารบำรุงสายตา

6 อาหารบำรุงสายตา

1.ผักใบเขีบว
2.ไข่
3.เบอร์รี่สีเข้มๆ
4.ปลาทะเล
5.ถั่วเปลือกแข็ง
6.ผลไม้และผักสดๆ

วิธีแก้เครียด

       วิธีแก้เครียด

1.จดบันทึก
2.ทำสมาธิ
3.พูดกับเพื่อน
4.พูดกับตัวเอง
5.เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ
6.ฝึกการหายใจ
7.ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
8.การออกกำลังกาย

วิธีทำกระทงกะลา

วิธีทำกระทงกะลา



     นำกะลาด้านที่ไม่มีรูมาขัดถูจนสะอาด ตกแต่งลวดลายให้สวยงาม ภายในกะลาใส่ด้ายดิบที่ฟั่นเป็นรูปตีนกา แล้วนำเทียนที่หล่อมาจากเทียนขี้ผึ้งจำนำพรรษาที่พระสงฆ์จุดเพื่อทำพิธีสวดมนต์ในโบสถ์ตลอดสามเดือน มาหล่อใส่ในกะลา หลังจากนั้นนำเชือกยาวมามัดกะลามะพร้าวแต่ละอัน เชื่อมต่อกันให้เป็นสายยาว

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประวัติกระทงสายไหลประทีป1000ดวง

ใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้วก็เลยมีประวัติของกระทงสายไหลประทีป1000ดวงมาฝาก
 "ประเพณีลอยกระทงสาย ไหลประทีป 1,000 ดวง" ของชาวจังหวัดตาก มีมาช้านานหลายชั่วอายุคนแล้ว เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า และขอขมาพระแม่คงคา ซึ่งในสมัยก่อนชาวบ้านจะใช้ใบพลับพลึงมาเย็บเป็นกระทง แล้วตักขี้ไต้ใส่เชื้อเพลิงคือน้ำมันมะพร้าว ปล่อยลงสู่ลำน้ำปิง ซึ่งเมื่อมองดูใบพลับพลึงจะให้สีขาวนวล ส่วนขี้ไต้จะสว่างไสว ดูสวยงามคล้ายไข่แดงในไข่ขาว ลอยระยิบระยับเป็นสายในท้องน้ำ แต่เมื่อใบพลับพลึงหายากขึ้น ชาวบ้านจึงเปลี่ยนมาใช้กะลามะพร้าวตาเดียว (กะลาที่ไม่มีรู) แทน              สำหรับเหตุผลที่คนตากนิยมนำกะลามาทำกระทง ไม่ใช้ใบตองเหมือนที่อื่นก็อาจเป็นเพราะ ชาวเมืองตากนิยมกิน"เมี่ยง" เป็นประจำหลังอาหารหรือเป็นอาหารว่าง นอกจากนี้ยังขายเป็นสินค้าพื้นเมืองจนเป็นที่นิยมทั่วไปในภาคเหนือ โดยการทำเมี่ยงนั้นจะมีมะพร้าวเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ เมื่อเอาเนื้อไปทำเมี่ยง ตัวกะลาที่มีเหลือจำนวนมากถ้าทิ้งไว้เฉยๆ ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ชาวตากจึงนำกะลาไปประยุกต์ทำเป็นกระทง              โดยจะนำกะลามาขัดถูให้สะอาด ตกแต่งลวดลายอย่างสวยงาม และภายในกะลาใส่ด้ายดิบที่ฟั่นเป็นรูปตีนกา แล้วหล่อด้วยเทียนขี้ผึ้งซึ่งนำมาจากเทียนจำนำพรรษา ที่พระสงฆ์ได้จุดเพื่อทำพิธีสวดมนต์ในโบสถ์วิหารตลอดสามเดือน หลังจากออกพรรษาชาวบ้านจะนำเทียนพรรษาเหล่านั้นมาหล่อตีนกา ซึ่งถือว่าเป็นของสิริมงคล ทั้งนี้การจุดไฟที่ด้ายซึ่งฟั่นเป็นรูปตีนกานั้นถือเป็นความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า แสงไฟจะสร้างความสว่างไสวให้กับชีวิตของตน              และในการลอยกระทงสายจะเริ่มต้นด้วยการลอย "กระทงนำ" หรือแพผ้าป่าน้ำ ซึ่งเป็นกระทงขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ด้วยดอกไม้ รูปเทียน ธงกระดาษแก้วหลากหลายสีที่ตัดเป็นลวดลายสวยงาม ใส่ผ้าสบง เครื่องกระยาบวช หมาก พลู ขนม ผลไม้ และเศษสตางค์ ซึ่งกระทงนำนี้ก่อนลอยต้องทำพิธีขอขมา เพื่อเป็นการบูชาพระแม่คงคา และพระพุทธเจ้า แล้วค่อยตามมาด้วย "กระทงตาม" ซึ่งทำด้วยกะลามะพร้าว โดยใช้เทียนขี้ผึ้งและฟั่นด้ายเป็นไส้เพื่อจุดให้แสงไฟ ลอยตามมาอีก 1,000 ใบ แล้วปิดท้ายด้วย "กระทงปิดท้าย" ซึ่งมีลักษณะเหมือนกระทงนำ แต่มีขนาดเล็กกว่า เพื่อเป็นการบอกว่าการลอยกระทงสายนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว              สำหรับผู้สนใจชม"ประเพณีลอยกระทงสาย ไหลประทีป 1,000 ดวง" แห่ง จ.ตากนั้น สามารถชมได้ในช่วงลอยกระทงของทุกๆปี ณ บริเวณริมลานกระทงสาย เชิงสะพานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แนะนำแอดมิน

สวัสดีค่ะ.......
ชื่อ.นันท์นภัส จินตพิทักษ์สกุล  ชื่อเล่นชื่อ ซี ค่ะ
อยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนตากพิทยาคม